น้ำสะอาดเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต แต่ในปัจจุบัน มลพิษและสารปนเปื้อนในน้ำเป็นปัญหาที่เราไม่อาจมองข้าม เครื่องกรองน้ำ จึงกลายเป็นอุปกรณ์สำคัญในบ้านเรือนและสถานประกอบการต่างๆ แต่ด้วยความหลากหลายของเทคโนโลยีการกรองน้ำ การเลือกเครื่องกรองน้ำที่เหมาะสมจึงเป็นเรื่องสำคัญ ไปทำความรู้จักกับประเภทต่างๆ ของเครื่องกรองน้ำ เพื่อให้คุณสามารถเลือกใช้ได้อย่างเหมาะสมกับความต้องการ
1. เครื่องกรองน้ำแบบไส้กรอง (Cartridge Filtration)
เครื่องกรองน้ำแบบไส้กรองเป็นระบบพื้นฐานที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยใช้หลักการกรองทางกายภาพเพื่อดักจับสิ่งปนเปื้อนในน้ำ
ลักษณะการทำงาน
– น้ำจะไหลผ่านไส้กรองที่มีรูพรุนขนาดเล็ก
– สิ่งปนเปื้อนที่มีขนาดใหญ่กว่ารูพรุนจะถูกดักจับไว้
– ไส้กรองมีหลายระดับความละเอียด ตั้งแต่ 0.5 ถึง 50 ไมครอน
ข้อดี
– ราคาไม่แพง
– ติดตั้งและเปลี่ยนไส้กรองง่าย
– มีประสิทธิภาพในการกำจัดตะกอน สนิม และสิ่งแขวนลอยในน้ำ
ข้อจำกัด
– ไม่สามารถกำจัดสารละลายและเชื้อโรคขนาดเล็กได้
– ต้องเปลี่ยนไส้กรองบ่อยเมื่อเทียบกับระบบอื่น
2. เครื่องกรองน้ำระบบ Reverse Osmosis (RO)
ระบบ Reverse Osmosis หรือ RO เป็นเทคโนโลยีการกรองน้ำขั้นสูงที่ใช้แรงดันในการผลักดันน้ำผ่านเยื่อกรองที่มีความละเอียดสูง
ลักษณะการทำงาน
– น้ำถูกดันผ่านเยื่อกรอง RO ที่มีรูพรุนขนาดเล็กมาก (0.0001 ไมครอน)
– สามารถกำจัดสารปนเปื้อนได้แม้กระทั่งโมเลกุลขนาดเล็ก
– มักมีระบบกรองหลายขั้นตอน รวมถึงถ่านกัมมันต์และไส้กรอง
ข้อดี
– กำจัดสารปนเปื้อนได้หลากหลาย รวมถึงแบคทีเรีย ไวรัส และสารเคมี
– ให้น้ำที่สะอาดมาก เหมาะสำหรับการดื่ม
– ลดความกระด้างของน้ำ
ข้อจำกัด
– ใช้น้ำในกระบวนการกรองมาก (มีน้ำเสียจากการกรอง)
– อาจต้องเพิ่มแร่ธาตุกลับเข้าไปในน้ำที่กรองแล้ว
– ราคาค่อนข้างสูงและต้องการการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ
3. เครื่องกรองน้ำระบบ Ultrafiltration (UF)
ระบบ Ultrafiltration หรือ UF ใช้เยื่อกรองที่มีรูพรุนขนาดใหญ่กว่า RO แต่เล็กกว่าไส้กรองทั่วไป
ลักษณะการทำงาน
– ใช้แรงดันต่ำในการผลักดันน้ำผ่านเยื่อกรอง UF
– สามารถกรองอนุภาคขนาด 0.01 ถึง 0.1 ไมครอน
– กำจัดแบคทีเรีย ไวรัส และสารแขวนลอยได้ดี
ข้อดี
– ใช้พลังงานน้อยกว่าระบบ RO
– ไม่ต้องการถังเก็บน้ำ สามารถกรองได้ตามความต้องการ
– รักษาแร่ธาตุที่มีประโยชน์ในน้ำไว้ได้
ข้อจำกัด
– ไม่สามารถกำจัดสารละลายและไอออนได้
– อาจต้องใช้ร่วมกับระบบอื่นเพื่อการกรองที่สมบูรณ์
4. เครื่องกรองน้ำระบบ Activated Carbon
ลักษณะการทำงาน
– น้ำไหลผ่านชั้นของถ่านกัมมันต์ที่มีรูพรุนจำนวนมาก
– สารปนเปื้อนจะถูกดูดซับไว้บนผิวของถ่านกัมมันต์
– มีทั้งแบบเม็ดและแบบผง
ข้อดี
– มีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดคลอรีน สารอินทรีย์ และสารพิษบางชนิด
– ปรับปรุงรสชาติและกลิ่นของน้ำได้ดี
– ราคาไม่แพงและบำรุงรักษาง่าย
ข้อจำกัด
– ไม่สามารถกำจัดแร่ธาตุ เกลือ และสารละลายอื่นๆ
– ต้องเปลี่ยนไส้กรองบ่อยเพื่อป้องกันการสะสมของแบคทีเรีย
5. เครื่องกรองน้ำระบบ Ion Exchange
ระบบ Ion Exchange ใช้หลักการแลกเปลี่ยนไอออนเพื่อกำจัดแร่ธาตุที่ไม่ต้องการออกจากน้ำ
ลักษณะการทำงาน
– ใช้เรซินพิเศษที่สามารถแลกเปลี่ยนไอออนได้
– ไอออนที่ไม่ต้องการในน้ำจะถูกแทนที่ด้วยไอออนอื่น
– นิยมใช้ในการลดความกระด้างของน้ำ (water softening)
ข้อดี
– มีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดความกระด้างของน้ำ
– ช่วยลดการสะสมของตะกรันในเครื่องใช้ไฟฟ้า
– สามารถฟื้นฟูประสิทธิภาพของเรซินได้
ข้อจำกัด
– ไม่สามารถกำจัดสารอินทรีย์และเชื้อโรคได้
– อาจเพิ่มปริมาณโซเดียมในน้ำ
– ต้องการการบำรุงรักษาและเติมเกลือเป็นประจำ
6. เครื่องกรองน้ำระบบ UV Disinfection
ระบบฆ่าเชื้อด้วยแสง UV ใช้รังสีอัลตราไวโอเลตในการทำลายเชื้อโรคในน้ำ
ลักษณะการทำงาน
– น้ำไหลผ่านหลอด UV ที่ปล่อยรังสี UVC
– รังสี UVC ทำลาย DNA ของเชื้อโรค ทำให้ไม่สามารถแบ่งตัวได้
– ไม่มีการเติมสารเคมีใดๆ ลงในน้ำ
ข้อดี
– มีประสิทธิภาพสูงในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และโปรโตซัว
– ไม่เปลี่ยนแปลงรสชาติหรือองค์ประกอบทางเคมีของน้ำ
– ใช้พลังงานน้อยและบำรุงรักษาง่าย
ข้อจำกัด
– ไม่สามารถกำจัดสารเคมีหรือสิ่งปนเปื้อนที่ไม่ใช่เชื้อโรค
– ต้องใช้ร่วมกับระบบกรองอื่นเพื่อการทำความสะอาดน้ำที่สมบูรณ์
– ประสิทธิภาพลดลงหากน้ำมีความขุ่นสูง
7. เครื่องกรองน้ำระบบ Distillation
การกลั่นเป็นวิธีการทำให้น้ำบริสุทธิ์โดยใช้ความร้อน
ลักษณะการทำงาน
– น้ำถูกต้มให้กลายเป็นไอ
– ไอน้ำจะถูกควบแน่นกลับเป็นน้ำบริสุทธิ์
– สิ่งปนเปื้อนที่มีจุดเดือดสูงกว่าน้ำจะถูกแยกออก
ข้อดี
– สามารถกำจัดสารปนเปื้อนได้หลากหลาย รวมถึงแร่ธาตุและเชื้อโรค
– ให้น้ำที่บริสุทธิ์มาก
– ไม่ต้องใช้สารเคมีในกระบวนการ
ข้อจำกัด
– ใช้พลังงานสูง
– กระบวนการช้าและให้น้ำในปริมาณน้อย
– อาจต้องเพิ่มแร่ธาตุกลับเข้าไปในน้ำที่กลั่นแล้ว